ติดต่อเรา

Email:icothai@gmail.com

Tel0819511100

           ^ กดเบอร์โทรข้างบนเพื่อติดต่อได้เลยคะ 

Line : 0819511100

Office Hours

  • Monday - Friday 
  • 8.30 A.M. to 5.00 P.M.
  • Saturday - Sunday Closed
 ติดต่อสอบถาม

ชื่อ :
นามสกุล :
บัตรประชาชนเลขที่ :
ที่อยู่ :
อำเภอ :
จังหวัด :
รหัสไปรษณีย์ :
มือถือ :
อีเมล์ :
Line ID :
Facebook ID / Name :
เรื่องที่สอบถาม :
 
 

 
 
 
 
 
LINE ID : 0819511100




บริการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด / ห้างหุ้นส่วน


 >> ผู้ประกอบการมือใหม่

         หลายๆคนคงคิดหรือใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจหรือกิจการเป็นของตนเอง เนื่องจากการมีกิจการเป็นของตนเองนั้นทำให้เราสามารถเป็นนายของตนเองได้โดยไม่ต้องทำตามคำสั่งของใครหรือสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ แต่การที่เราจะเริ่มทำธุรกิจอะไรขึ้นมาสักอย่างนั้น อันดับแรกคงต้องศึกษาเกี่ยวกับความชอบหรือความถนัดก่อน และเมื่อเรารู้แล้วว่าเราชอบหรือถนัดอะไรก็ต้องเริ่มที่จะลงมือทำไปทีละขั้นทีละตอน 


 >> บันไดสู่ความสำเร็จ

          การจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจนั้นประกอบไปด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ความรู้ความสามารถอย่างลึกซึ้งในกิจการหรือธุรกิจที่เราจะทำ เงินทุน ความอดทนและความพยายาม นอกจากนี้แล้ว การวางแผนเกี่ยวกับรูปแบบขององค์กรธุรกิจที่ดีและมีความเหมาะสมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรว่าธุรกิจแบบใดจะมีความเหมาะสมกับธุรกิจของท่านมากที่สุด

 >> การแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด

          ส่วนหลายๆท่านที่ดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคลแบบห้างหุ้นส่วนจำกัดไปแล้ว แต่มีรู้สึกว่าอยากจะปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์กรไปเป็นบริษัทเพราะมีความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีกว่า ในขณะนี้สามารถที่จะทำได้แล้ว เนื่องจากมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย หุ้นส่วนบริษัท พ.ศ. 2551 ซึ่งเปิดช่องให้ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนและห้างหุ้นส่วนจำกัด สามารถแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด ได้

สำหรับหลายๆท่านที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจ ถ้าหากว่าท่านตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ บริษัทจำกัด ซึ่งจะขออธิบายขั้นตอนและวิธีการดำเนินการคร่าวๆดังนี้ คือ 

การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด :

สำหรับองค์กรธุรกิจในประเทศไทยที่ได้รับความนิยมในการจัดตั้ง คือ “บริษัทจำกัด” เนื่องจากเป็นรูปแบบองค์กรที่มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและมีความมั่นคงด้านเงินลงทุนมากกว่า คณะบุคคล หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้เอง ที่จะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในการเจรจาทางธุรกิจ 

ขั้นตอนและวิธีดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด :

  1. ผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไปจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ
  2. เข้าชื่อซื้อหุ้น
  3. ประชุมจัดตั้งบริษัท ตั้งคณะกรรมการของบริษัท
  4. ผู้เริ่มก่อการมอบกิจการให้แก่กรรมการ
  5. ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นชำระเงินค่าหุ้นตามที่กรรมการเรียกให้ชำระ
  6. จัดทำเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียน
  7. ยื่นคำขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจัดตั้งบริษัทจำกัดพร้อมกันภายในหนึ่งวัน

หมายเหตุ: ท่านสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์


หน้าที่ของบริษัท ภายหลังจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว :

ในอันดับต่อไปหากท่านได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว บริษัทจำกัด มีหน้าที่ที่จะต้อง กระทำดังต่อไปนี้

1. ดำเนินการการจดทะเบียนขอมีเลขผู้เสียภาษีกับกรมสรรพากรภายใน 60 วัน นับแต่วันจดจัดตั้งบริษัทเสร็จ
2. จัดทำบัญชีตามกฎหมาย
3. จัดทำงบการเงิน
4. ยื่นแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้

หมายเหตุ: ท่านสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

จะเห็นได้ว่าขั้นตอนทั้งก่อนและหลังการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้นค่อนข้างจะมีความซับซ้อนสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่เพราะจะต้องจัดเตรียมเอกสารที่ค่อนข้างเยอะ ประกอบกับระเบียบวิธีปฏิบัติจำนวนมากในการติดต่อกับทางราชการ

ดังนั้นการใช้บริการของสำนักงานกฎหมายที่มีประสบการณ์ในการจดทะเบียนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ที่จะช่วยทำให้บริษัทของท่านปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และยังสะดวกรวดเร็วอีกด้วยและยังสะดวกรวดเร็วอีกด้วย


ถาม-ตอบ : จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด / ห้างหุ้นส่วน

1. ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทจำกัด มีอะไรบ้าง?

2. มูลค่าของหุ้นที่ต่ำที่สุดที่จะลงในบริษัทต้องเป็นเท่าไรคะ?

3. การชำระค่าหุ้นของบริษัทจำเป็นต้องชำระเต็มหรือเปล่าครับ?

4. บริษัทต่างด้าวกับบริษัทไทยมีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ?

5. ดิฉันกำลังจะดำเนินจัดตั้งบริษัทในประเทศไทยค่ะ โดยจะมีเพื่อนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วย ในกรณีแบบนี้ ดิฉันควรที่จะให้เพื่อนถือหุ้นเท่าไรดีค่ะ บริษัทของดิฉันจึงจะยังคงเป็นบริษัทสัญชาติไทยอยู่?

6. เดิมบริษัทของผมมีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันกำลังจะย้ายไปต่างจังหวัด ดังนั้นผมจะต้องไปจดทะเบียนย้ายสำนักงานที่กระทรวงพาณิชย์ที่กรุงเทพฯ หรือที่ต่างจังหวัดครับ?

7. ทราบมาว่ามีการแก้ไขกฏหมายหุ้นส่วนและบริษัทใหม่ ในเรื่อง การเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเดิม ให้บอกกล่าวนัดประชุมเป็นหนังสือ ส่งให้แก่ผู้ถือหุ้น ไม่ทราบว่าพอจะอธิบายความแตกต่างได้ไหมค่ะ?


ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทจำกัด มีอะไรบ้าง?

ต้องมีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไปเข้าชื่อกันทำหนังสือบริคณห์สนธิ และผู้เริ่มก่อการต้องจัดให้หุ้นของบริษัทที่จะตั้งขึ้นนั้นมีผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบ ต่อมาให้ดำเนินการประชุมตั้งบริษัท และที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องมอบหมายกิจการให้กรรมการบริษัทรับไปดำเนินการต่อไป โดยกรรมการต้องเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้จองหุ้นชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น และเมื่อได้รับค่าหุ้นแล้วกรรมการต้องไปจดทะเบียนเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน ภายหลังจากประชุมจัดตั้งบริษัท

มูลค่าของหุ้นที่ต่ำที่สุดที่จะลงในบริษัทต้องเป็นเท่าไรคะ?

หุ้นละ 5 บาทค่ะ

การชำระค่าหุ้นของบริษัทจำเป็นต้องชำระเต็มหรือเปล่าครับ?

การชำระค่าหุ้นของบริษัทไม่จำเป็นต้องชำระเต็มก็ได้ โดยให้ชำระเพียง 25 เปอร์เซ็นต์ ของทุนจดทะเบียนค่ะ

บริษัทต่างด้าวกับบริษัทไทยมีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ?

บริษัทต่างด้าวคือบริษัทที่ถือหุ้นโดยคนต่างด้าวมากกว่า49 ขึ้นไป บริษัทสัญชาติไทยคือบริษัทที่อาจจะมีคนต่างด้าวถือหุ้นก็ได้แต่ต้องไม่เกิน 49 เปอร์เซ็นต์

ดิฉันกำลังจะดำเนินจัดตั้งบริษัทในประเทศไทยค่ะ โดยจะมีเพื่อนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วย ในกรณีแบบนี้ ดิฉันควรที่จะให้เพื่อนถือหุ้นเท่าไรดีค่ะ บริษัทของดิฉันจึงจะยังคงเป็นบริษัทสัญชาติไทย

คุณควรให้เพื่อถือหุ้นมากที่สุด 49 เปอร์เซ็นต์ ค่ะ เพราะถ้าถือหุ้นมากกว่านี้ บริษัทของคุณจะมีสถานะเป็นบริษัทต่างด้าวค่ะ

เดิมบริษัทของผมมีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันกำลังจะย้ายไปต่างจังหวัด ดังนั้นผมจะต้องไปจดทะเบียนย้ายสำนักงานที่กระทรวงพาณิชย์ที่กรุงเทพฯ หรือที่ต่างจังหวัดครับ?

คุณจะต้องดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของบริษัทที่กรุงเทพฯให้รียบร้อยก่อนนะคะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยไปดำเนินการเรื่องเปลี่ยนแปลงที่อยู่ที่กรมสรรพากรที่สำนักของบริษัทคุณตั้งอยู่ภายหลังค่ะ

ทราบมาว่ามีการแก้ไขกฏหมายหุ้นส่วนและบริษัทใหม่ ในเรื่อง การเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเดิม ให้บอกกล่าวนัดประชุมเป็นหนังสือ ส่งให้แก่ผู้ถือหุ้น ไม่ทราบว่าพอจะอธิบายความแตกต่างได้ไหมค่ะ?

ค่ะ เดิมวิธีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น จะให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ สองคราว ก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือ ส่งไปรษณีย์ไปยังผู้ถือหุ้น แต่กฏหมายที่แก้ไขใหม่จะให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ หนึ่งคราว ก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน และ ส่งไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้น จะเห็นได้ว่าวิธีการในการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นในกฏหมายที่แก้ไขใหม่นั้น จะต้องทำทั้งสองอย่าง แต่กฏหมายเก่าเพียงแค่บอกกล่าวเป็นหนังสือส่งไปรษณีย์ก็เพียงพอแล้ว


 >> ห้างหุ้นส่วน (Partnerships)

ห้างหุ้นส่วน  ตามมาตรา  1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า”อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคล ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงเข้ากัน เพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น" ดังนั้นตามกฎหมายห้างหุ้นส่วนจะต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป จะนำทุนมาเข้าหุ้นกัน (ทุนที่จะนำมาลง ได้แก่ เงินสด ทรัพย์สินอย่างอื่น หรือ แรงงาน คือ ใช้กำลัง สติปัญญา ความคิดแรงกายแทน)
2. ตกลงเข้ากัน คือ บุคคลที่จะเข้าร่วมประกอบกิจการได้ทำสัญญาตกลงกันว่าจะประกอบการค้าร่วมกัน การตกลงกันนั้น จะต้องมีการแสดง เจตนาโดยแจ้งชัด อาจจะทำเป็นสัญญาปากเปล่า หรือ ลายลักษณ์อักษร ก็ได้ว่าจะเข้าเป็น "ห้างหุ้นส่วน"               
3. เพื่อการทำกิจกรรมร่วมกัน คือคู่สัญญา จะต้องมาดำเนินกิจการเพื่อทำการตามที่ได้ตกลงไว้ให้บรรลุวัตถุประสงค์
4. เพื่อประสงค์กำไร   คือ เป็นการตกลงใจทำงาน โดยมีจุดหมายปลายทางเพื่อผลกำไร อันได้เกิดจากกิจการที่ทำนั้น และผลกำไรจะได้นำมาแบ่งกัน ระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน  

ประเภทห้างหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนบางออก เป็น 3 ประเภท

  1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ
  2. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
  3. ห้างหุ้นส่วนจำกัด

1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ มีหุ้นส่วน สองคนขึ้นไป  ผู้เป็นหุ้นส่วนจะอยู่ฐานะผู้จัดการ และทุกคนรับผิดชอบในหนี้สินไม่จำกัดจำนวน ตามกฎหมายเรียกว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนสามัญ   และเรียกผู้ที่รับผิดชอบการบริหารงานของห้างว่า”หุ้นส่วนผู้จัดการ" 

ข้อดีของห้างหุ้นส่วนสามัญ 
1.  การจัดตั้งกระทำได้ง่าย
2.  มีการร่วมทุนและความรู้ความสามารถจากผู้เป็นหุ้นส่วน
3.  สามารถขยายกิจการด้วยการเพิ่มทุนหรือรับหุ้นส่วนเพิ่มได้                          
ข้อเสียของห้างหุ้นส่วนสามัญ 
1.  เมื่อห้างมีการขาดทุนและเลิกกิจการ ผู้เป็นหุ้นส่วนที่มีฐานะการเงินดีจะถูกเรียกร้องให้ชำระหนี้ของห้างทั้งหมดได้
2.  ความคล่องตัวและความเป็นอิสระ ในการบริหารงานลดลง
3.  การเสียภาษี เป็นการเสียแบบบุคคลธรรมดา
4.  ผู้เป็นหุ้นส่วนต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ร่วมกันโดย เจ้าหนี้ อาจจะเรียกให้หุ้นส่วนคนใดชำระหนี้ให้จนครบจำนวนย่อมได้
   
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล การประกอบการแบบห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีลักษณะเหมือนกับห้างหุ้นส่วนสามัญทุกประการ แต่มีข้อแตกต่างกัน   คือการนำห้างหุ้นส่วนสามัญไปจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีผลให้ห้างหุ้นส่วนนั้นเป็นนิติบุคคล แยกต่างหากจากห้างหุ้นส่วน     

ข้อดีของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 
1.  การเสียภาษีเป็นการเสียแบบนิติบุคคล 
2.   ได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอกมากขึ้น เนื่องจากมีผู้สอบบัญชี
3.  มีการร่วมลงทุนและความรู้ของหุ้นส่วน
4.  เสียภาษี แบบนิติบุคคล

3. ห้างหุ้นส่วนจำกัด การประกอบการในลักษณะนี้จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และต้องใส่คำว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด" ไว้หน้าชื่อห้างเสมอไปด้วย โดยมีผู้เป็นหุ้นส่วน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แบ่งหุ้นส่วนออกเป็น 2 ลักษณะคือ
1.  ประเภทจำกัดความรับผิดชอบ จำกัดรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้น
2. ประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ การไม่จำกัดความรับผิดชอบ หมายถึง ไม่จำกัดหนี้สินที่เกิดขึ้นกรณี ห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิกกิจการตามกฎหมายให้สิทธิ์แก่เจ้าหนี้ ของกิจการมีสิทธิ์เรียกร้องให้นำทรัพย์สินส่วนตัวของหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบในส่วนที่นอกเหนือจากเงินที่ลงทุนในกิจการ มาชำระหนี้จนครบ 

ข้อดีของห้างหุ้นส่วนจำกัด 
1.  รวบรวมเงินทุน ความรู้ความสามารถจากผู้เป็นหุ้นส่วนได้มากขึ้น
2.  ผู้มีเงินทุนยินดีจะลงทุนร่วมด้วย โดยเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด ทำให้พ้นภาระรับผิดชอบในหนี้สินแบบลูกหนี้ร่วม
3.  สามารถจะระดมบุคคลที่มีความเชียวชาญในสาขาใด ๆ มาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้
4.  ได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอกมากขึ้น
5.  เสียภาษีเงินได้แบบนิติบุคคล

ข้อเสียของห้างหุ้นส่วนจำกัด 
1.  การจัดตั้งมีความยุ่งยากมากขึ้น
2.  หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ ต้องรับภาระหนี้สินไม่จำกัดจำนวน
3.  เมื่อมีผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดตาย ล้มละลาย หรือลาออก ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกิจการและชำรบัญชีให้เรียบร้อย


 >> ขอเครื่องหมายการค้า (Trademark)

เครื่องหมายการค้าที่สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ได้ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ 
1.ต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ
2.ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
3.ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายของผู้อื่น

เครื่องหมายที่มีลักษณะบ่งเฉพาะเป็นคำหรือข้อความที่มิได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงและไม่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ เช่น ชื่อประเทศ ชื่อรัฐ ชื่อเมืองหลวง หรือชื่อทางภูมิศาสตร์อื่นที่ประชาชนโดยทั่วไปรู้จักกันแพร่หลาย เช่น ภูเขา แม่น้ำ อำเภอ ตำบล เป็นต้น

ดิฉันยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แต่ถูกปฏิเสธไม่รับจดทะเบียน ดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ ?
คุณสามารถอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับจดทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้ ภายใน 90 วัน โดยระยะเวลาจะนับตั่งแต่วันที่ได้รับหนังสือคำสั่งการพิจารณาของนายทะเบียนค่ะ

ในการยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย ต้องใช้ตัวแทนหรือเปล่าครับ ? 
ถ้าคุณเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า คุณสามารถยื่นคำขอด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นแทนได้ค่ะ ในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายเป็นชาวต่างชาติ สามารถยื่นคำขอโดยผ่านตัวแทนผู้รับมอบอำนาจได้ค่ะ 
แต่อย่างไรก็ตามผู้ยื่นคำขอต้องยื่นคำขอเป็นภาษาไทยและต้องมีถิ่นที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทยด้วยนะคะ

เครื่องหมายประเภทใดบ้างคะ ที่ได้รับความคุ้มครองในประเทศไทย ? 
เครื่องหมายที่ได้รับความคุ้มครองในประเทศไทย มี 4 ประเภท คือ เครื่องหมายการค้า เครื่งหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง และ เครื่องหมายร่วม ค่ะ

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใช้ระยะเวลานานมั้ยค่ะ ? 
ใช้ระยะเวลาประมาณ 8 เดือนค่ะ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องไม่ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการแก้ไขใดๆหรือไม่มีการคัดค้านการจดทะเบียนด้วยนะคะ

ดิฉันอยากทราบว่าในการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไรคะ? 
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า มีค่าธรรมเนียมแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้ครับ

ค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรายการสินค้า หรือ บริการ อย่างละ 500 บาท 
ค่าธรรมเนียมการรับจดทะเบียนรายการสินค้า หรือ บริการ อย่างละ 300 บาท


 >> มูลนิธิ (Foundation)

หลักเกณฑ์ในการขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ

ผู้เริ่มก่อการจดทะเบียนมูลนิธิ

  1. ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งมูลนิธิต้องมีอย่างน้อย 3 คน
  2. ชาวต่างชาติสามารถเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งมูลนิธิได้ แต่ต้องมีคนไทยอย่างน้อย 1 คนในการเป็นผู้เริ่มก่อการด้วย
  3. ผู้เริ่มก่อการจะเป็นคนเดียวกันกับคณะกรรมการมูลนิธิก็ได้

ทุนของมูลนิธิ

  1. ต้องมีทุนจดทะบียนเป็นเงินสดไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ถ้าหากเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น จะต้องเป็นเงินสดไม่น้อยกว่า 100,000 บาท (ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการสังเคราะห์ ส่งเสริมการศึกษา การศาสนา การกีฬา  ค้นคว้าเรื่องยาเสพติด หรือก่อตั้งขึ้นโดยหน่วยงานรัฐบาล)
  2. หากมีวัตถุประสงค์ต่างจากนี้ต้องมีทุนจดทะเบียนเป็นเงินสดไม่น้อยกว่า 500,000 บาท  ถ้าหากเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น จะต้องเป็นเงินสดไม่น้อยกว่า 250,000 บาท
  3.  ทรัพย์สินที่จะยกให้มูลนิธิเป็นทุนเริ่มแรก จะต้องเป็นทรัพย์สินไม่ติดภาระผูกพันและต้องเป็นของผู้บริจาคเท่านั้น

การดำเนินงานของมูลนิธิ

  1. ต้องมีคณะกรรมการอย่างน้อย 3 คน
  2. คณะกรรมการต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์
  3. คณะกรรมการต้องกำหนดรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำส่งงบบัญชี และยื่นภาษี ภงด.55

การเลิกมูลนิธิ

  1. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไป ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ นิติบุคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 110 เท่านั้น

ค่าธรรมเนียมในการจดมูลนิธิ

  1. ค่าคำขอ 50 บาท
  2. ค่ายื่นคำขอจดทะเบียน ฉบับละ 200 บาท

 >> สมาคม (Association)

หลักเกณฑ์ในการขอจดจัดตั้งสมาคม

  1. ต้องมีผู้เริ่มก่อการ 3 คน และต้องมีข้าราชการตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไปเป็นผู้รับรองประวัติ
  2. สมาชิกของสมาคมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. สมาชิกสามัญ 2. สมาชิกกิตติมศักดิ์
  3. สมาคมต้องระบุค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคม เป็นรายเดือน หรือรายปี
  4. ในการสมัครสมาชิกของสมาคมนั้น ต้องมีสมาชิกสามัญรับรองจำนวน 1 คน
  5. ในการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิไม่จำเป็นต้องมีทุนจดทะเบียน
  6. ทุกปีต้องมีการยื่นงบการเงินให้นายทะเบียนทราบ
  7. หากต้องการตดทะเบียนเลิกสมาคมไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่หลังจากชำระบัญชีเรียบร้อยแล้ว ต้องมอบให้แก่ นิติบุคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณประโยชน์เท่านั้น

คำถาม

1. ในการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ กับสมาคมใช้ระยะเวลาเท่าไรค่ะ

ตอบ หากผู้เริ่มก่อการทั้งหมดเป็นคนไทยก็ใช้ระยะเวลา 3 เดือน แต่หากมีผู้เริ่มก่อการเป็นชาวต่างชาติใช้ระยะเวลา 6 เดือน– 1ปี ค่ะ

2. ในการจดทะเบียนมูลนิธิ กับสมาคม ต่างกันตรงไหนครับ

ตอบ  1. ในการจดทะเบียนมูลนิธิไม่ต้องมีข้าราชการระดับ ซี 6 เป็ นผู้รับรองประวัติ 
      2.  การจดจัดตั้งสมาคมไม่กำหนดทุนในการจดทะเบียน 
      3. เรื่องการแบ่งประเภทของสมาชิกและค่าบำรุงสมาคม
3. หากเรามีมูลนิธิที่ต่างประเทศแล้วต้องการจดทะเบียนสาขาที่ประเทศไทยได้ไหมครับ

ตอบ ได้ค่ะ แต่ต้องยื่นขอจดทะเบียนสาขาในต่างประเทศ ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ และต้องทำตามภายใต้กฏหมายต่างประเทศ


Tag: ทนายเชียงใหม่, ทนายเชียงใหม่ช่วยเหลือประชาชน, ทนายประชาชน,  สำนักงานทนายความเชียงใหม่, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่, ทนายความเชียงใหม่, สำนักงานกฎหมายในจังหวัดเชียงใหม่, ทนายเชียงใหม่เก่งๆ, ปรึกษาทนายเชียงใหม่,  ทนายอาสาเชียงใหม่, สภาทนายเชียงใหม่, ทนายความเชียงใหม่มืออาชีพ, ทนายความเชียงใหม่ช่วยเหลือ SME และ START UP, ทนายเชียงใหม่ความมุ่งมั่น, ทนายความเชียงใหม่คลายทุกข์, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ช่วยเหลือประชาชน, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่มุ่งมั่นช่วยเหลือประชาชน, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่คลายทุกข์


#สำนักงานทนายเชียงใหม่ #สำนักงานกฎหมายในจังหวัดเชียงใหม่ #สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ #ทนายเชียงใหม่เก่งๆ #ปรึกษาทนายเชียงใหม่ #ทนายเชียงใหม่ #ทนายอาสาเชียงใหม่ #สภาทนายเชียงใหม่ #ทนายความเชียงใหม่







Share on Facebook

 


ปรึกษาฟรี!! มุ่งมั่นช่วยเหลือแก่ทุกท่าน แบบมิตรภาพ โดยทีมทนายความวิถีพุทธ

ดร.เกียรติศักดิ์ เนติบัณฑิตย์ไทย ทนายวิถีพุทธ และทีมทนายความเชียงใหม่ ติดต่อโทร 081-951-1100

 
เว็บสำเร็จรูป
×